เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ตัวผมเองได้มีโอกาสพบเจอกับ “หัวหน้าติ๊ก” โดยบังเอิญ หัวหน้าติ๊กเป็นข้าราชการวัยเกษียณที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยงานของหน่วยงานหนึ่ง หัวหน้าติ๊กเป็นคนที่มีคนรู้จักเยอะ ลูกน้องก็รักมากเหลือเกิน
ผมพยายามขอเคล็ดลับจนที่สุดก็พบว่า ท่านบอกว่าท่านมีหลักการปกครองและหลักการบริหารว่า ท่านใช้ “หลักพุทธศาสนา”
ท่านบอกต่อว่า “เอาแบบนี้ ผมขอยกตัวอย่าง อคติ 4 กับการบริหารคนก็แล้วกันนะ”
หากมี อคติ 4 แล้วคุณจะเป็นเจ้านายที่ไม่ลำเอียง
เจ้านายที่ดีต้องไม่ลำเอียงปราศจากอคติเพื่อที่จะได้ปกครองลูกน้องได้โดยไม่ลำเอียง ตรงไปตรงมา เมื่อเป็นเจ้านายที่ไม่ลำเอียงแล้ว ลูกน้องก็รัก เจ้านายก็ไว้ใจ และตัวเราเองก็เป็นเจ้านายที่ดีได้
ฉันทาคติ คือ ลำเอียงเพราะรัก
การเป็นเจ้านายที่ดีนั้นต้องอย่าลำเอียงเพราะรัก ไม่ใช่ว่าเรารักลูกน้องคนไหน ถูกใจคนไหนก็ให้คุณแก่ลูกน้องคนนั้นแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่มองลูกน้องจากผลการปฏิบัติงาน แบบเห็นลูกน้องสวยขาวอวบก็ให้ไปดูงานต่างประเทศ พอคนหน้าตาไม่ดีก็ให้อยู่แต่ในสำนักงาน (ตัวอย่างนี้หัวหน้าติ๊กยกขึ้นมานะครับ ผมไม่ได้พูดเอง ฮ่ะๆ)
โทสาคติ คือ ลำเอียงเพราะชัง
การเป็นเจ้านายที่ดีนั้น นอกจากอย่าลำเอียงเพราะรักแล้วก็อย่าลำเอียงเพราะชัง ไม่ใช่ว่าเราเกลียดลูกน้องคนไหน ไม่ชอบคนไหนก็ให้โทษแก่ลูกน้องคนนั้น ไม่มองลูกน้องจากผลการปฏิบัติงานที่ดี แบบว่าแค้นมัน มันพูดจาไม่ดีกับเรา ขวานผ่าซากเกินไป ก็ให้ผลการประเมินงานต่ำๆ (ตัวอย่างนี้ก็ด้วยนะ)
ภยาคติ คือ ลำเอียงเพราะกลัว
การเป็นเจ้านายที่ดีนั้น อย่าลำเอียงเพราะความกลัว กลัวอำนาจคนที่ตำแหน่งสูงกว่า ไม่กล้าตำหนิ ไม่กล้าให้งานคนที่เป็นลูกท่านหลานเธอ “หัวหน้าติ๊ก” บอกว่าในระบบราชการมีเรื่องนี้เยอะเหลือเกิน ทำให้เกิดหัวหน้าที่ไม่เป็นกลางในการบริหารคนในหน่วยงาน
โมหาคติ คือ ลำเอียงเพราะไม่รู้
การเป็นเจ้านายที่ดีนั้น ต้องหาข้อมูลให้แน่นอนและแน่ชัดก่อนการตัดสินให้คุณหรือให้โทษลูกน้อง ไม่ควรตัดสินคนในหน่วยงานในขณะที่ข้อมูลยังไม่แน่ชัดเพราะจะเกิดการตัดสินที่ผิดพลาด
นอกจาก “อคติ 4” แล้ว “หัวหน้าติ๊ก” ยังบอกอีกว่าหลักการปกครองและหลักการบริหารโดยใช้ “หลักพุทธศาสนา” นั้น มีมากมาย เช่น อิทธิบาท 4 สังควัตถุ 4 พรหมวิหาร เป็นต้น ให้ลองศึกษาดูจะพบว่ามีประโยชน์นักบริหารและนักการปกครองอย่างยิ่งยวด